วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ความประทับใจในโรงเรียนสมัยมัธยมศึกษา

มีใครบางคนเคยบอกผมไว้ว่า
"ชีวิตในวัยมัธยมเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดช่วงหนึ่งของชีวิต"

เป็นวัยแห่งการทดลอง ชีวิตมีอิสระเสรี เป็นวัยที่ใช้เวลาอยู่กับเพื่อนๆเยอะที่สุด เพราะฉะนั้นถ้ามีอะไรที่อยากทำก็ควรรีบทำซะ เพราะว่าเวลาที่เรามีอยู่มันสั้นนัก ถ้าปล่อยให้มันผ่านไปแล้วมันก็จะผ่านไปเหมือนดั่งสายน้ำที่ไม่ไหลย้อนกลับ
"วารีไม่คอยท่า เวลาไม่คอยคน"

ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมก็คงจะไม่เชื่อ และก็คงจะไม่สนใจกับคำพูดเหล่านี้ แต่เมื่อผมโตขึ้นและได้มาใช้ชีวิตอยู่ในมหาลัย มันได้ทำให้ผมเรียนรู้ว่า ชีวิตหลังจากจบมัธยมแล้วมันก็เริ่มที่จะเข้าสู่ชีวิตของผู้ใหญ่ จะทำอะไรก็ต้องรู้จักคิดให้มาก อยู่กับความเป็นจริงให้มาก จะทำอะไรตามแต่ใจตัวเองเหมือนเด็กๆไม่ได้ เมื่อย้อนกลับไปคิดถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาแล้ว มันจึงทำให้ผมรู้สึกเสียดายจิงๆที่ใช้เวลาไม่คุ้มค่าเท่าที่ควร

ตลอดระยะเวลา 12 ปี ที่ผมได้อาศัยอยู่ใน"รั้วม่วงทอง" นับได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดช่วงหนึ่งของชีวิต ภายใต้"หลังคาชงโค"หลังนี้มันมีทั้งความสุข ความทุกข์ ความสนุก ความเศร้า ความดีใจ ความเสียใจ และอีกหลายๆความรู้สึกอีกมากมายคละเคล้ากันไป ถ้าจะให้บรรยายแล้วมันก็คงจะบรรยายได้ไม่หมด รร.นี้ได้ถ่ายทอดทั้งความรู้ ความคิด ปลูกฝังจิตสำนึกที่ดี คุณธรรม ศีลธรรม รวมทั้งความรักสถาบัน เรียกได้ว่าไม่ได้แค่สร้างนร.ที่มีแต่ความรู้ แต่ยังสร้างคนที่ดีให้แก่สังคมอีกด้วย
นอกจากนี้รร.นี้ยังได้เน้นเรื่องของความรักสามัคคีกันในหมู่คณะ ไม่ว่าจะเป็นภายในรุ่นเดียวกัน รุ่นพี่รุ่นน้อง หรือว่าต่อคนอื่นๆก็ตาม พวกกิจกรรมต่างๆเช่น งานกีฬาสี งานฟุตบอลจตุรมิตร งานครบรอบวันเกิดรร. งานปีใหม่ ทางรร.จะสนับสนุนให้นร.ม.ปลายได้มีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมตลอดโดยมีอาจารย์เป็นที่ปรึกษา เพื่อเป็นการฝึกการทำงานเป็นหมู่คณะ สร้างความสามัคคีภายในรุ่น ซึ่งในตอนม.ปลาย ผมก็มีโอกาสได้ทำงานเหล่านี้กับเพื่อนๆ"รุ่น155" และก็เป็นที่แน่นอนว่าเมื่อมีการทำงานกันของคนหมู่มาก ก็ย่อมมีการโต้เถียงกันบ้าง ไม่ว่าจะเป็นในระหว่างฝ่ายงานเดียวกันหรือคนละฝ่ายงาน แต่สุดท้ายงานก็ออกมาเสร็จเรียบร้อยดี ซึ่งมันเป็นประสบการณ์ที่ทำให้ผมรู้สึกประทับใจและภาคภูมิใจที่ว่า เราได้มีส่วนร่วมในการทำงานของรุ่นให้ออกมาสำเร็จได้ด้วยดี
นอกจากการทำงานแล้ว อาจารย์บางท่านก็เป็นส่วนหนึ่งในความประทับใจของผม เพราะว่าพวกท่านได้สั่งสอนผมทั้งในเรื่องความรู้และการใช้ชีวิต ท่านได้ให้ทั้งข้อคิดดีๆและอบรมสั่งสอนในสิ่งที่ควรทำ ไม่ควรทำ รวมทั้งท่านยังเป็นคนที่คอยรับฟังและให้คำปรึกษาเวลาที่ผมมีปัญหา และอาจารย์ก็ยังเป็นที่ปลูกฝังให้ผมรักและจงรักภักดีในสถาบัน รักในความเป็น"เลือดม่วงทอง"ของเด็กคริสเตียนทุกคน
"โรงเรียนเอกชนแห่งแรกของประเทศไทย"นี่ก็นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจในการที่ได้มาเรียนที่สถาบันแห่งนี้ มันทำให้ผมรู้สึกว่ารร.ของผมเป็นรร.ที่ทั้งเก่าแก่และมีชื่อเสียง และสถานที่ของรร.นี้ก็เป็นอีกหนึ่งในหลายๆความประทับใจ ไม่ว่าจะเป็น โรงอาหารที่มีอาหารอร่อยๆให้เลือกมากมาย 20 กว่าร้าน ตึกเรียนที่มีความโอ่โถง สวยงาม ห้องสมุดหรือห้องต่างก็มีความสะดวกสบาย ทันสมัย โรงยิม สระว่ายน้ำ สนามฟุตบอล และที่ขาดไม่ได้ก็คือ "หอธรรม" ซึ่งเป็นหอประชุมที่เก่าแก่ ใหญ่ มีความสวยงามทั้งรูปทรงภายนอก ภายใน และยังเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของรร.แห่งนี้อีกด้วย
และสุดท้ายซึ่งน่าจะเป็นความประทับใจที่สุดของทุกๆคนในช่วงชีวิตมัธยม นั่นก็คือคำว่า"เพื่อน" การที่ได้มาอยู่ใน"รั้วชงโค"แห่งนี้ มันได้ทำให้ผมได้พบกับเพื่อนที่ดีมากมาย เพื่อนที่คอบรับฟังเวลาผมมีปัญหา เพื่อนที่ทำงานด้วยกัน ฝ่าฟันปัญหาต่างๆไปด้วยกัน เพื่อนที่ได้พูดคุย ได้เฮฮา ใช้เวลาที่สนุกสนาน เรียกได้ว่าถ้าผมไม่ได้มาเรียนที่รร.แห่งนี้ ก็คงจะไม่ได้เจอกับเพื่อนดีๆเหล่านี้มากมาย ผมเชื่อว่าการที่หลายๆคนยอมมารร.แต่เช้า ต้องยอมตื่นทั้งที่ไม่อยากตื่น คงไม่ใช่แค่ว่าเพราะพ่อแม่อย่างเดียวเท่านั้น แต่เพราะว่าการได้มาเจอกับเพื่อนๆ ได้มาใช้ชีวิตร่วมกัน หรือไม่ว่าจะเป็นเหตุผลอื่นๆ แต่เหตุผลเหล่านั้นก็คงจะมีเพื่อนเป็นส่วนหนึ่งอย่างแน่นอน ผมกล้าพูดได้เต็มปากเลยว่า หากชีวิตมัธยมของทุกๆคนนั้นขาดคนที่เรียกว่าเพื่อนไปแล้ว มันก็คงจะไม่เรียกว่าชีวิตมัธยม และก็คงจะเป็นที่น่าเสียใจ ที่ต้องพลาดช่วงเวลาที่ดีที่สุดช่วงหนึ่งของชีวิตไปอย่างน่าเสียดาย

กรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย


ชื่อย่อ : ก.ท (B.C.C.)
ก่อตั้ง : พ.ศ.2395 (ค.ศ.1852)
ที่ตั้ง : 35 ถนนประมวญ แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500
เพลงประจำโรงเรียน : กรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยและม่วงทองผ่องอำไพ
ต้นไม้ประจำโรงเรียน : ต้นชงโค
สีประจำโรงเรียน : ม่วง-ทอง
สปิริตโรงเรียน :
1.ความจงรักภักดี(Loyalty)
2.ความซื่อสัตย์สุจริต(Honesty)
3.ความรับผิดชอบ(Responsibility)
4.ความสามัคคี(Unity)

คติพจน์ : อย่าให้ความชั่วชนะเราได้ แต่จงชนะความชั่วด้วยความดี(โรม 12:21)
Do not be overcome by evil, but overcome evil with good(Romans 12:21)

ปรัชญา :
โรงเรียนกรรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยตั้งอยู่บนรากฐานแห่งคริสต์ศาสนา มุ่งมั่นที่จะพัฒนานักเรียนทั้งด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ สังคม และจิตวิญญาณ ให้สมบูรณ์ โดยการเป็นพลเมืองดี มีประสิทธิภาพในการดำรงชีวิตอย่างสันติสุขในสังคม โดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา และฐานะ

วิสัยทัศน์ :
โรงเรียนกรรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เต็มตามศักยภาพ มีความสามารถเป็นเลิศทางด้านวิชาการ เป็นคนดี เป้นผู้นำที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม มีความคิดสร้างสรรค์ ก้าวทันมาตรฐานสากลบนพื้นฐานความเป็นไทย

ความหมายของสีประจำโรงเรียน :
ท่านอาจารย์ เอ็ม.บี.ปาล์มเมอร์ เเป็นผู้ที่ได้สถาปนาสีประจำโรงเรียน ซึ่งความหมายของสีนั้นแบ่งเป็น2ประเด็น คือ
1.สีม่วงหมายถึงสีแห่งกษัตริย์หรือราชสำนัก สีทองหมายถึงความมีค่า
2.สีม่วงมาจากสีน้ำเงิน(พระมหากษัตรย์)ผสมกับสีแดง(ชาติ) สีทองคล้ายกับสีเหลืองอันหมายถึงศาสนา

ประวัติของโรงเรียนโดยสังเขป :
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระมหาราชกรุณาธิคุณให้มิชชันนารี
คณะอเมริกันเพรสไบธีเรียน ให้เช่าที่ดินแปลงหนึ่งใกล้วัดอรุณราชวราราม (วัดแจ้ง) และ วันที่ 30 กันยายน 2395 (ค.ศ. 1852 ) จึ่งเริ่มเปิดการสอนครั้งแรก โดยมี มร.แมทตูน เป็นครูใหญ่ แต่...ในระยะแรกยังมีนร.เข้ามาเรียนน้อยยยมาก ถึงกับต้องจ้างคนมาเรียน เนื่องจากยังไม่เป็นที่นิยมเพราะสมัยนั้นยังไม่ค่อยมีใครสนใจการเรียน มีก็แต่คนจีนที่ส่งบุตรเรียนบ้าง

ต่อมาในปีพ.ศ. 2405 ได้ขยายและย้ายรร.ไปที่ตำบลสำเหร่ โดย ศาสนาจารย์สตีเฟน แมทตูน เป็นผู้อำนวยการ กิจการก้าวหน้าขึ้นตามลำดับ ระหว่างนั้นรัฐได้เปิดรร.รัฐขึ้นอีกแห่งหนึ่งที่ตำบลสวนอนันต์ เพื่อให้การศึกษาเฉพาะแก่บุคคลชั้นเจ้านาย โดยมีท่านอาจารย์ J.A EAKIN ร่วมงานด้วย เมื่อพ้นพันธะรร.สวนอนันต์ ในปี 2431 ท่านได้มาเปิดรร.ส่วนตัวที่ตำบลกุฏีจีน ชื่อ "โรงเรียนบางกอกคริสเตียนไอสกูล" หรือ B.C.H. แต่ในปี 2435 ท่านได้ยกเลิกรร.ส่วนตัวของท่านไปแล้วมาพัฒนารร.ที่สำเหร่แทน และก่อสร้างอาคารหลังใหม่ขึ้น ขนานนามรร.ใหม่เป็น "สำเหร่บอยส์สกูล"

ในปี 2443 ท่านและคณะ ได้จัดหาที่ดินแปลงใหม่ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำเจ้าพระยา ถนนประมวญ ตำบลสีลม อำเภอบางรักเนื้อที่16ไร่ จากเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี ได้ดำเนิน การสร้างอาคารหลัก 3 หลัง เป็นห้องเรียน ประชุม ที่ทำงานและห้องพัก รร.แห่งใหม่เปิดการ สอนเมื่อปี 2445 ใช้ชื่อใหม่ว่า "กรุงเทพคริสเตียนไฮสกูล" โดยท่านเป็นผู้อำนวยการ

ต่อมาในปี 2456 ได้มีการเปลียนชื่อใหม่เป็น "Bangkok Christian College" หรือ " กรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย " ย่อว่า B.C.C. และในปี 2463 รร.กรุงเทพคริสเตียน เป็นรร.ราษฎร์แห่งแรกที่ได้กระทรวงธรรมการ (ศึกษาธิการ) รับรองวิทยฐานะเทียบเท่ารร.รัฐ

บรรยากาศภายในโรงเรียน :


หอธรรม - หอประชุมที่เก่าแก่ที่สุดของรร. ใช้ทำพิธีต่างๆทางศาสนาและกิจกรรมต่างๆ



ภายในหอธรรม

รอบๆหอธรรม

สวนป้าล์ม - อยู่ระหว่างโรงอาหารและหอธรรม


อาคารอารีย์เสมประสาท - อาคารเรียนสูง6ชั้น ของนร.ประถมศึกษา


อาคาร2 - อาคารเรียนสูง4ชั้น ของนร.ประถมศึกษาโครงการปกติและพิเศษ

สวนน้ำตก - ตั้งอยู่ใต้อาคาร2และข้างๆโรงอาหาร


อาคารสิรินาถ - อาคารเรียนสูง16ชั้น ของนร.มัธยมศึกษาโครงการพิเศษ+ห้องพักผู้บริหาร

สระว่ายน้ำชั้น4 ของอาคารสิรินาถ

ห้องสมุดกลาง(อาคารสิรินาถ)





อาคารBCC150ปี - อาคารเรียนสูง20ชั้น ใต้ดิน2ชั้น ของนร.มัธยมศึกษาโครงการปกติและพท.สำหรับเป็นหอพักในอนาคต



ลานชั้น10 อาคารBCC150ปี

... ความทรงจำ ...